มินิซีรี่ย์ “พาเมียหนี(เที่ยว)ซัปโปโร” ตอนจบ งบ15,000 รวมทุกอย่าง แต่กลับความจริงบางอย่างว่า….

วันที่ 2 ในซัปโปโร

ผมกับภรรยาตื่นขึ้นมาแต่เช้าประมาณ 6:00 อาบน้ำอาบท่า นัดกับเพื่อนอีกสองคนว่าเจอกันที่ล้อบบี้ตอน 7:00 น. เพื่อจะเดินไปตลาดปลานิโจครับ

ซึ่งตลาดปลานิโจนี้ถือว่าอยู่ใกล้ ไปง่ายมากครับ หากไปไม่ถูก ให้หาจุดแถวๆ ซัปโปโร ทีวีทาวเวอร์ เป็นจุดสตาร์ทครับ เสร็จแล้วเดินไปตามถนนด้านหลังทีวีทาวเวอร์ที่มีคลองเล็กๆ คั่นกลาง เดินลงมาทางใต้ประมาณ 300 เมตรก็ถึงตลาดปลาแล้วครับ

โดยเราจะมากินข้าวเช้าที่นี่ โดยตั้งใจจะกินข้าวหน้าปลาดิบกันครับ เนื่องจากฮอกไกโดขึ้นชื่อเรื่องของความสดจากทะเล เราก็เลยต้องมาให้ถึงที่ โดยผมไปสืบมาก่อนว่า ร้านชื่อดังของที่นี่คือร้าน Donburi Chaya (どんぶり茶屋 ) ครับ

พอมาถึงก็เป็นร้านเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก ตอนเรามาถึงก่อนแปดโมง มีแค่โต๊ะเรากับคู่นักท่องเที่ยวอีกโต๊ะแค่นั้นครับ

ถ้าถามความประทับใจของร้านนี้ ผมชอบไข่หอยเม่นครับ สด อร่อย ไม่คาว ถ้าใครมา แนะนำข้าวหน้าที่มีไข่หอยเม่นนะครับ

ท้องอิ่มเราก็เดินกลับไปทางทีวีทาวเวอร์ โดยจุดมุ่งหมายต่อไปคือ ไปดูซากุระและทิวลิปที่ตึกอิฐแดง หรืออาคารที่ว่าการเก่าครับ โดยเดินกลับไปทางที่พักเรา แล้วเดินไปอีกนิดก็ถึงแล้วครับ

มาถึงที่นี่ เราก็ได้พบซากุระสักที หลังจากที่แถวๆ สวนโอโดริกลายเป็นใบเขียวไปหมดแล้ว สังเกตว่า ซากุระที่ยังบานอยู่จะเป็นแบบดอกใหญ่ ซึ่งน่าบานหลังจากที่พันธ์ุดอกเล็กๆ เริ่มร่วงกันหมดแล้ว

ปล. ทิวลิปที่นี่สวยดีครับ และชอบที่เขาปลูกกันเต็มไปหมด ที่สวนโอโดริ ริมถนน มีแต่ดอกทิวลิปบานเต็มไปหมดครับ

หลังจากทริปไปสกีรีสอร์ทเมื่อวาน เราก็จะแพลนเที่ยวแบบสบายๆ ไม่รีบร้อนครับ หลังจากเดินแถวตึกอิฐแดงแล้ว เราก็หาร้านกาแฟนั่งกิน นั่งคุยกับแบบชิวๆ แล้วเที่ยงๆ บ่ายๆ เราค่อยไปโอตารุกันครับ

การเดินทางไปโอตารุนั้น หากคนส่วนใหญ่มา ก็จะแนะนำให้ซื้อ Otaru Welcome Pass ราคา 1,750 เยน ใช้เดินทางไปกลับซัปโปโร-โอตารุ ได้ไม่จำกัดใน 1 วัน แถมบัตรโดยสาร สำหรับเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินของซัปโปโร 3 สายได้ไม่จำกัดภายในหนึ่งวัน ซึ่งตั๋วสองแบบนี้สามารถแยกกันใช้ได้ครับ

ด้วยความมั่นใจว่า ซื้อตั๋วแบบนี้คุ้มแน่ ผมก็เลยเดินไปหาส่วนประชาสัมพันธ์ของ JR (อยู่ตรงข้ามร้าน Mister Donut) ครับ

เมื่อขอซื้อตั๋วแล้วเจ้าหน้าที่ขอพาสปอร์ต ปรากฎว่า ผมกับภรรยาเก็บพาสปอร์ตไว้ที่โรงแรมครับ!! เซ็งเบย จะเดินกลับไปเอาก็ขี้เกียจ เลยสรุปว่า ซื้อตั๋วเป็นเที่ยวไปก็ได้ฟ่ะ 5555

ราคาตั๋วเที่ยวเดียวไปโอตารุ ราคา 640 เยน ครับ (ราคาเท่ากับไปโอตารุจิ๊กโก๋เมื่อวานเลย)

ตอนขึ้นรถหากใครอยากเห็นวิวทะเล นั่งทางขวานะครับ

แพลนตอนแรกผมกะเอาไว้ว่า จะลงที่สถานี Minami-Otaru ก่อน แล้วเดินชมซากุระ,ไปพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี แล้วค่อยเดินผ่านย่านร้านค้า ไปจบที่คลองโอตารุครับ เนื่องจากข่าวทราบมาก่อนแล้วว่า ซากุระร่วงหมดแล้ว แต่ก็ยังคงแพลนว่า จะลงเดินตามแพลนเดิมอยู่ดีครับ

ปรากฎว่า ด้วยความเพลียครับ หลับเฉยเลย! มาตื่นอีกทีที่สถานีโอตารุแล้ว ก็เลยเดินงงๆ ลงมาตามทางเพื่อจะไปคลองโอตารุครับ

เดินไปสัก 20 นาที เราก็มาถึงคลองโอตารุแล้วครับ แวะถ่ายภาพ บอกชาวบ้านเขาหน่อยว่ามาถึงแล้ว เดี๋ยวเขาหาว่าโม้ 555 (แต่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ผมเฉยๆ ไม่ค่อยอินกับคลองโอตารุเท่าไหร่นะ)

ความตั้งใจของผมจริงๆ คือ พาภรรยาไปกินซอฟท์ครีม+เมล่อนจริงๆ ที่ร้านฝั่งตรงข้ามคลองโอตารุครับ

เนื่องจากผมไม่กินเมล่อน เลยได้เมล่อนแบบ1/4 ของลูก โปะด้วยซอฟท์ครีม ให้ภรรยาครับ

เสร็จแล้วเราก็เดินไปตามถนนที่สองข้างทางมีร้านค้าเพื่อไปพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี และร้านขนม Le TAO ครับ

แวะกินหนมและเดินเล่นดูกล่องดนตรีน่ารักๆ สักสี่โมงเย็นกว่า เราก็คิดว่า กลับไปที่ซัปโปโรกัน เพื่อจะไปกินบุฟเฟ่ต์ปู Nanda แล้ว

เมื่อกลับมาถึง เราก็พบความจริงอีกอย่างว่า มันมีทางเดินใต้ดินเชื่อมจากสถานีซัปโปโรไปยังสถานีซูซูกิโนนี่หว่า แต่เราชอบเดินรับลมข้างบนกันมากกว่า อากาศเย็นสบาย ทำให้เราเดินกันแบบไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อเลยครับ

ห้าโมงเย็นกว่าๆ เราก็มาถึงร้านบุฟเฟ่ต์ปู Nanda โดยตัวร้านจะอยู่ภายในตึก Cyber City ลงลิฟท์ไปชั้น B2 เลยครับ โดยเราไม่ได้ทำการจองล่วงหน้า กะว่า มาลุ้นเอาเลยดีกว่า สรุปว่า มีที่ว่างครับ

ค่าเสียหายคนละ 3,980 เยน ต่อ 90 นาที ถ้าเอาแอลกอฮอล์ด้วยก็เพิ่มอีก 1,000 เยนครับ ขออภัยที่ไม่มีภาพถ่ายมาฝากเลยครับ เพราะต่างคนต่างฟินกับการกินปูแบบไม่อั้นเป็นอย่างมากครับ

มีทิปเล็กๆ น้อยๆ มาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับร้านบุฟเฟ่ต์ปูมาฝากครับ

  • ผมสังเกตว่า ถ้ามาก่อน 17:30 น. จะยังมีที่ว่าง คนในร้านยังไม่เยอะ แต่ถ้าหลัง18:00 น. คนจะมาแน่นร้านเลยทีเดียว
  • ร้านนี้คนไทยเหมาทั้งร้านครับ ไม่เจอคนชาติอื่นๆ เลย เลยไม่รู้ว่า คนชาติอื่นเขาไม่กินปูกันรึไงนะ
  • ปูที่นี่มีสามชนิดครับ คือ ปูขน ปูชูไว ซึ่งปูสองชนิดนี้เขาทำให้สุกแล้ว กินได้เลย แต่มันจะเย็นๆ อาจจะไม่ชินกับคนไทยครับ
  • ปูอีกชนิดหนึ่ง (ที่ผมชอบมา) คือ ปูทาราบะ หรือปูอลาสก้า ตัวนี้ก้ามใหญ่ขาใหญ่ เอามาปิ้งสักหน่อย อร่อยๆ มากๆ ครับ
  • เตาของที่ร้าน ร้อนเร็วกว่าที่เห็นมาก อย่าเผลอละสายตา ขาปูคุณจะไหม้เอาได้ง่าย
  • ควรพกน้ำจิ้มซีฟู้ดมาจากเมืองไทยด้วย เพื่อได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น (ผมชอบน้ำจิ้มซีฟู้ดยี่ห้อหอยนางรมครับ) และนี้คือสาเหตุหนึ่งที่ต้องซื้อกระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่องด้วย
  • ร้านควันปิ้งย่างเยอะมาก เอาเสื้อกันหนาวไป แนะนำถอดใส่ถุงพลาสติกก่อนนะครับ
  • หาคนในกลุ่มที่มีสกิลในการตัดขาปู ปิ้งขาปู จะช่วยให้คนในทีมทานปูกันอย่างอิ่มหมีพีมัน (รอบนี้ผมรับหน้านี้นั้นครับ)
  • 90 นาทีที่นี่เร็วมาก เพราะคนส่วนใหญ่มักเสียเวลาในการจัดการปู ควรมอบหน้าที่สำคัญนี้ให้กับไอ้คนข้อเมื่อกี้
  • เนื้ออย่างอื่นก็น่าอร่อย แต่ผมไม่ทันได้กิน มัวแต่จัดการแต่ ปู ปู ปู ปู แล้วก็ปู
  • ชอบแซลมอลที่นี่ครับ ทั้งซาซิมิและข้าวปั้น เป็นส่ิงที่ไม่ควรพลาด
  • ไลน์อาหารเจ๋งมากครับ ไม่เคยพร่องเลย ไม่ปล่อยให้ลูกค้ามารออาหารที่หมดครับ
  • วางแผนอาหารที่หยิบมาด้วยนะครับ ทานให้หมด ทานให้ทันใน 90 นาที (โต๊ะผมก็เกือบไม่ทัน)

สรุปว่า คุ้มมากครับ มาซัปโปโร ยังไงก็ต้องมากินที่นี่ให้ได้ครับ

90 นาทีผ่านไป (เช็คบิลตอนเหลืออีก 3 นาทีหมดเวลา) เราเดินกันออกมาแบบแทบจะกลิ้งกลับที่พักกันเลย เป็นมื้ออีกมื้อที่เราประทับใจกันมากครับ

เสร็จแล้วเราก็เดินเล่นที่ถนนคนเดินกันอีกนิดหน่อย ก่อนกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมครับ

*******************************

วันที่ 3 ในซัปโปโร

วันนี้เราตั้งใจว่าจะเป็นวันสบายๆ สุดของเราครับ โดยเรามีแพลนแค่ ตอนเช้าไปโรงงานช็อกโกแลต บ่ายไปซัปโปโร เบียร์ มิวเซียม ตอนเย็นหาราเมนอร่อยๆ กิน ช้อปปิ้งเล็กน้อย เพราะพรุ่งนี้เราต้องกลับกันแต่เช้าครับ

วันนี้เราต้องใช้รถไฟฟ้าใต้ดินอยู่ และเนื่องจากเดินทางไปกลับ โรงงานช็อกโกแลต-ซัปโปโร ก็เกือบ 600 เยน เราเลยซื้อ One Day Pass แบบใช้รถไฟใต้ดิน 3 สาย ไม่จำกัดใน 1 วัน ราคา 820 เยนครับ

มื้อเช้า เราฝากท้องไว้กับร้าน Mustuya แถวๆ โรงแรมครับ ราคาอาหารชุด ประมาณ 500-600 เยน

เสร็จแล้วเราก็เดินไปไปขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Tozai ไปลงสุดสายที่สถานี Miyonosawa ออกทางออกที่ 2 แล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปตามทางเจอแยกใหญ่เลี้ยวขวา ก็จะเห็นโรงงานช็อกโกแลตอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วครับ

โรงงานช็อกโกแลตเป็นสถานที่น่ารักมุ้งมิ้งดีสำหรับผมครับ ภรรยาก็ชอบมาก เราเดินเล่น ถ่ายรูป แถวสวนกันอย่างสนุกสนานเลยครับ (ตรงนี้ไม่เสียค่าเข้า) แต่ถ้าคุณอยากจะไปที่ส่วนคาเฟ่ชั้น 4 หรือชมกระบวนการการผลิดช็อกโกแลตชื่อดัง ก็จะต้องซื้อตั๋วเข้าชมราคา 600 เยนครับ

เมนูที่อยากจะแนะนำที่ร้านคาเฟ่ชั้น 4 ก็คือ ช็อกโกแลตร้อนแบบเจ้มจ้นครับ มันจะเข้มจนบางคนรู้สึกเหนียวคอเลย ทางที่ดีลองสั่งกันมาชิมก่อนนะครับ เดี๋ยวใครไม่ชอบเข้มข้นแบบนี้จะเสียอารมณ์เปล่าครั

เราเดินเล่น,ชมโรงงาน,แวะดูร้านของฝาก ที่อยู่ในนี้กันจนเกือบเที่ยงครับ เสร็จแล้วเราก็แวะหาอะไรกินรองท้องกันที่ซุปเปอร์ที่สถานีไหนสถานีหนึ่งแถวๆ นั้นแหละครับ (ลองกินกันแบบคนญี่ปุ่น) เสร็จแล้วเราก็ค่อยเดินทางไป ซัปโปโร เบียร์ มิวเซียม

เราใช้วิธีการนั่งรถไฟใต้ดินกลับมาที่สถานีโอโดริ แล้วเปลี่ยนไปสายสีน้ำเงินย้อนกลับไปทางสถานีซัปโปโร ถัดจากสถานีซัปโปโรไปสองสถานี เราลงที่สถานี Higashi Kyuyakusho ออกมาจากสถานี เดินลงไปทางใต้ประมาณ 5 แยกไฟแดง เลี้ยวซ้าย จะเห็นปล่องสูงๆ มีสัญลักษณ์ ดาวแดง นั่นแหละครับ ถึงแล้ว

แต่ถ้าใครขี้เกียจเดิน แนะนำนั่งแท็กซี่จากสถานีซัปโปโรครับ ค่าโดยสารประมาณ 1,000 เยนครับ

ที่นี่จะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าความเป็นมาของเบียร์ยี่ห้อซัปโปโรครับ โดยเจ้าหน้าที่จะแนะนำให้เราขึ้นลิฟท์ไปชั้น3 ก่อนแล้วค่อยเดินช_มประวัติความเป็นมาของเบียร์ยี่ห้อนี้ จนลงมาถึงชั้น1 จะมีตู้จำหน่ายคูปอง โดยมีเบียร์แก้วเล็ก ราคา200 เยน หากต้องการลองชิมทั้งสามสูตร จะมีแบบ 3 แก้ว ราคา 500 เยน พร้อมสแนคถุงเล็กๆ ครับ โดยจะมีที่นั่งกินคล้ายๆ คาเฟ่เล็ก และมีร้านขายของที่ระลึกอยู่มุมด้านหนึ่งด้วยครับ

หลังจากเที่ยวและชิมเบียร์สักพัก เราก็เดินกลับสถานีซัปโปโรครับ ไปหา Ramen Village ซึ่งเป็นจุดรวมร้านราเม็งชื่อดังของฮอกไกโดนับสิบร้าน อยู่บนตึก ESTA ชั้น 10 ครับ (หากใครไม่ได้ไปตรอกราเมนที่ซูซูกิโน แนะนำมาทานที่นี่ก็ได้ครับ ร้านส่วนใหญ่ที่ตรอกราเม็งก็มาเปิดร้านที่นี่ครับ)

เราเลือกร้าน Asaji Ramen ครับ ราเม็งที่เราทานจะเป็นมิโสะราเม็งครับ อร่อยดี

ทานเสร็จเราก็เดินเล่นกันสักพักครับ ก่อนที่จะกลับที่พักในช่วงทุ่มนึง เพราะฝนตกเอาวันสุดท้ายพอดี ถึงห้องก็เตรียมจัดกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวกลับกันครับ

***********************************

วันที่สี่ (วันกลับ)

เราตื่นกันตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง เพื่อเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมตอนตีห้าครึ่ง ไปขึ้นรถไฟกลับสนามบินรอบ 06:00 น. ราคาตั๋ว 1,070 เยนเหมือนเดิมครับ

เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที ก็ถึงสนามบินครับ หากใครจะแวะซื้อของฝากซื้อกันที่นี่ได้เลยครับ แต่เนื่องจากเครื่องเราออกไฟล์ท 08:55 เราเลยต้องทำเวลาหน่อยครับ

วิธีการเช็คอินก็ง่ายๆ ครับ ให้เราเดินกลับไปทางที่เราผ่านพิพิธภัณฑ์โดราเอมอน (ชั้น 3) สุดทางด้านซ้ายก็จะเป็นเคาน์เตอร์เช็คอินของแอร์เอเชียครับ

หลังจากเช็คอิน ส่วนตรวจสัมภาระหิ้วขึ้นเครื่องจะเปิด 07:30 หากคุณหาอะไรทานได้แถวนั้นก่อนเข้าให้ทานไปก่อนนะครับ เพราะร้านอาหารข้างในเปิด 09:00 น. ครับ จะมีแค่คีออสเล็ก ขายขนมปัง น้ำ กับของไม่กี่อย่างครับ

08:30 เจ้าหน้าที่เรียกขึ้นเครื่อง 09:00 เครื่องออกจากสนามบินนิวชิโตเสะครับ 14:30 เราถึงสนามบินดอนเมือง จบทริปอย่างมีความสุขครับ

ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เราใช้ในทริปนี้

  • ค่าตั๋วโดยสารไปกลับ DMK-CTS 7,800 บาท
  • ค่าโหลดกระเป๋า 20 กิโล ไปกลับ (1,400 หาร4) 350 บาท
  • ค่าที่พัก Nest Hotel Sapporo Ekimae 3 คืน 1800 บาท
  • ค่ารถไฟไปกลับสนามบิน 1,070 เยนx2 = 600 บาท
  • ค่าเดินทางไปกลับสกีรีสอร์ท+เช่ารองเท้าบู้ท 640+1,540+500 เยน = 750 บาท
  • ค่าบุฟเฟ่ต์ปู 3,980 เยน = 1,115 บาท
  • ค่ารถไปกลับโอตารุ (วันที่ 2) 1,280 เยน = 360 บาท
  • ค่ารถไฟใต้ดิน One Day Pass 820 เยน = 230 บาท
  • ค่าเข้าโรงงานช็อกโกแลต 600 เยน = 168 บาท
  • ค่าอาหาร+ขนม ประมาณ 6,000 เยน = 1,680 บาท

สรุปทริปนี้ รวมใช้เงินไปต่อคนเท่ากับ 14,853 บาท ใช้เงินไปไม่ถึง 15,000 บาทหรือถ้าเกินก็เกินนิดหน่อยครับ 🙂

โดยภาพรวมแล้ว ทริปนี้เป็นทริปที่อาจจะใช้เวลาน้อยไปสักนิด แต่ทุกคนก็แฮปปี้กันดีครับ ภรรยาผม กลับมาก็ยังคุยถึงความสุขจากการไปเที่ยวจนถึงทุกวันนี้เลยครับ

จบแล้วครับ อย่าลืมเก็บข้าวของก่อนออกจากโรงนะครับ 🙂

 

Be the first to comment

Leave a comment

Your email address will not be published.


*


This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.