โรฮิงญา (โรฮีนจา) คือใคร,ประวัติของโรฮิงญา

หลังจากที่ตอนนี้มีข่าวเกี่ยวกับ”โรฮิงญา” (หรือ โรฮีนจา) ได้ถูกพูดถึงกันเป็นอย่างมากในตอนนี้ ทำให้หลายคนอยากจะรู้ว่า โรฮิงญาเป็นใคร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร? วันนีั Zcooby ขอเอาข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับคนกลุ่มนี้มาแชร์ให้ทราบกันนะครับ

โรฮิงญา (โรฮีนจา) คือใคร?

โรฮิงญา (Rohingga) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ (อาระกัน) ซึ่งรัฐยะไข่อยู่ทางตะวันตกของประเทศพม่า พูดภาษาโรฮิงญา เป็นกลุ่มชนบริเวณชายแดนฝั่งพม่าที่พูดภาษาจิตตะกอง-เบงกาลี ซึ่งรัฐบาลทหารพม่าปฏิเสธสถานภาพพลเมืองของชาวโรฮิงยา ส่งผลให้มีชาวโรฮิงยาจำนวนมากต้องอพยพลี้ภัยไปยังประเทศอื่นเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า

โรฮิงญา

ที่มาของโรฮิงญา

มีแนวความคิดเกี่ยวกับที่มาของกลุ่มโรฮิงญาหลายแนวทางดังนี้ครับ

  • นักวิชาการบางส่วนระบุว่า เป็นชนพื้นเมืองรัฐยะไข่
  • ส่วนนักประวัติศาสตร์บางส่วนมักอ้างว่าพวกเขาอพยพมาประเทศพม่าจากเบงกอลส่วนใหญ่ระหว่างสมัยการปกครองของอังกฤษ
  • นักประวัติศาสตร์ส่วนน้อยว่า โรฮิงญาเป็นกลุ่มคนที่อพยพมาหลังพม่าได้เอกราชในปี 2491 และสงครามประกาศอิสรภาพบังกลาเทศในปี 2514

ประวุัติของ “โรฮิงญา”

  •     ชาวโรฮิงยา มีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงกับชาวเอเชียใต้ โดยเฉพาะชาวเบงกอล
  •     บางส่วนสืบเชื้อสายมาจากชาวอาหรับ เปอร์เซีย และ ปาทาน ที่อพยพมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโมกุล
  •     ถิ่นที่อยู่ของ ชาวโรฮิงยา ( ชาวยะไข่ รัฐยะไข่ ) อยู่ในภูมิประเทศที่ถูกปิดล้อมไว้ด้วยเทือกเขาอารากัน ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก
  •     ภูมิประเทศที่มีความซับซ้อน ยากต่อการคมนาคมติดต่อกับ เมืองหลวงของประเทศพม่า เพราะมีเทือกเขาอารากัน เป็นเสมือนกำแพงขวางกั้นจากโลกภายนอก ทำให้ชาวยะไข่ มีวิถีชีวิต และ วิธีคิดเป็นอิสระจากชนส่วนใหญ่ในพม่า
  •     รัฐยะไข่ มีประชากรประมาณ ๒ ล้านคน ในสมัยอังกฤษเข้าปกครองเรียก รัฐยะไข่ ว่า อารากัน (Arakan ) มี เมืองหลวงชื่อ สตวย (Sittwe)
  •     ประชากรชาว ยะไข่ หรือ ชาวโรฮิงยา ส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ อยู่ทางด้านใต้ของรัฐ
  •     มีชาวมุสลิมประมาณ ๕ แสนคน อยู่ทางด้านเหนือ
  •     อีกสวนหนึ่งเป็นมุสลิมเข้ามาจาก จิตตะกอง อย่างผิดกฎหมาย พวกนี้แหละคือ “ โรอิงยา

มุมมองของพม่าที่มีต่อ “โรฮิงญา”

 

ตั้งแต่แรกเริ่มเป็นต้นมา ประเทศพม่ามองว่าพวกโรฮิงญาไม่มีความจงรักภักดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชาวโรฮิงญาบางคนต้องการสร้างรัฐอิสระขึ้นทางอะรากันตอน เหนือ และผนวกเข้ากับปากีสถาน

พม่าไม่ยอมรับว่าโรฮิงญาเป็นพลเมือง และในปี พ.ศ. 2491 กองทหารพม่าออกปฏิบัติการกวาดล้างพวกนี้ หมู่บ้านหลายร้อยแห่ง “ถูกเผาและคนหลายพันคนถูกฆ่า ทำให้มีผู้ลี้ภัยจำนวนมหาศาลอพยพหนีไปยังบริเวณที่เป็นปากีสถานในขณะนั้น” (Yunus 1995:3) และ นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการที่เจ้าหน้าที่ทางการพม่าพยายามจะข่มขวัญและขับไล่ พวกโรฮิงญาในครั้งต่อ ๆ มาอีก ทำให้ผู้ลี้ภัยหลั่งไหลเข้าสู่ปากีสถานและต่อด้วยบังคลาเทศระลอกแล้วระลอกเล่า

ในมุมมองของรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า ชาวโรฮิงยาเป็นประชาชนที่ “ลี้ภัยอย่างผิดกฎหมาย”  และอพยพมากจากประเทศบังกลาเทศในสมัยที่พม่าตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของจักรวรรดินิยมอังกฤษ ดังนั้นด้วยทัศนคติเช่นนี้ของรัฐบาลเผด็จการพม่าทำให้ประชาชนชาวโรฮิงยาส์ไม่ได้รับการรวมเข้าไปในกลุ่มชนพื้นเมือง (Indigenous groups) ในรัฐธรรมนูญพม่า ส่งผลให้ไม่ได้รับสัญชาติพม่า

ในตอนแรกเจ้าหน้าที่ทางการที่นั่นต้อนรับพวกโรฮิงญาในฐานะเป็นโมฮาเจียร์ (ผู้ลี้ภัยอิสลาม) และตามรายงานข่าวทางการได้วางแผนจะสร้างหมู่บ้านตัวอย่างที่เหมือนไร่นา สหกรณ์แบบรัสเซียให้กับคนพวกนี้ (“Chottograme”1949) แผนการนี้ไม่ได้กลายเป็นรูปธรรมขึ้นมา และต่อมาอีกไม่นานโรฮิงญาก็ได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นคนต่างด้าว

ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 มีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญากว่า 250,000 คน อาศัยอยู่ในบังคลาเทศในค่ายที่สหประชาชาติดูแลอยู่ในแถบบริเวณชายแดน บางคนกลับไปพม่าในเวลาต่อมา บางคนหลอมรวมเข้ากับสังคมบังคลาเทศ และประมาณ 20,000 คน ยังอาศัยอยู่ในค่ายใกล้กับเท็คนาฟ อย่างน้อยอีก 100,000 คน อาศัยอยู่นอกค่าย และทางการบังคลาเทศพิจารณาว่าเป็นผู้ลี้ภัยที่ผิดกฎหมาย ในปี พ.ศ. 2542 ชาวโรฮิงญากลุ่มนี้อย่างน้อย 1,700 คน ติดคุกในบังคลาเทศด้วยข้อหาข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมาย (UNHCR 1997:254; “Twenty-five” 1999)

ผู้ลี้ภัยโรฮิงญาที่ยากจนไร้สัญชาติจำนวนมากจึงอพยพไปสู่เมืองใหญ่ในบังคลาเทศ มาเลเซีย ปากีสถาน และเดินทางต่อไป ซึ่งประเทศแถบอ่าวเปอร์เชียที่ซึ่งเชื่อกันว่ามีคนกลุ่มนี้กว่า 200,000 คนอาศัยอยู่ในช่วงทศวรรษ 1990 (Lintner 1993; Human Rights Watch 2000) ชาวโรฮิงญาบางคนได้รับความช่วยเหลือจากองค์การอิสลามต่าง ๆ และเข้าร่วมการต่อสู้ในอัฟกานิสถานโดยต้องทำหน้าที่เสี่ยงภัยที่สุดใน สมรภูมิรบ กวาดล้างกับระเบิดและแบกสัมภาระ (Lintner 2002) ดังนั้นการที่ประเทศพม่าไม่ไว้ใจชุมชนชายแดนจึงนำไปสู่การพลัดถิ่นข้ามชาติ อย่างรวดเร็วและทำให้ปัจจุบันมีชุมชนอินเตอร์เน็ต และแหล่งข่าวข่าวของโรฮิงญาเองเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก

สาเหตุที่โรฮิงญาไม่สามารถอยู่ในประเทศของตนเองได้ และส่งกลับไปก็จะหนีออกมาอีก

ชาวโรฮิงยาส่วนใหญ่ยังคงถูกปฏิเสธสิทธิในสัญชาติภายใต้กฎหมายพลเมืองพม่าปี 2525 พวกเขาอาศัยอยู่ในรัฐระไข่ห์ ตอนเหนือ ซึ่งยังคงต้องขออนุญาตและชำระค่าธรรมเนียมเพื่อออกจากหมู่บ้าน เรื่องดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการค้าขายและแสวงหางานทำ นอกจากนั้นพวกเขามักจะถูกบังคับให้เป็นแรงงานอีกด้วย

ชาวมุสลิมโรฮิงยายังถูกจำกัดสิทธิพลเมืองอีกหลายประการ ได้แก่ ไม่มีอิสระในการเดินทาง การบังคับเก็บภาษี การยึดที่ดินและบังคับย้ายถิ่น การขัดขวางการเข้าถึงด้านสาธารณสุข ที่พักอาศัยและอาหารไม่เพียงพอ การบังคับใช้แรงงาน รวมทั้งมีข้อจำกัดในการสมรส  ซึ่งส่งผลให้ชาวมุสลิมโรฮิงยาหลายพันคนอพยพไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในภูมิภาคซับซ้อน

 

Be the first to comment

Leave a comment

Your email address will not be published.


*


This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.